วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการท หารบกหลักสูตรประจำชุดที่ ๕-๖ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๐ – ๒๕๒๑ และทรงได้รับปริญญานิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ ครั้นถึง พ.ศ.๒๕๓๓ ทรงได้รับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรแห่งสหราชอาณาจักรด้วยเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ปวงชนชาวไทยต่างมีความปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการประกาศสถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร มีพระนามาภิไธย ตามจารึกพระสุพรรณบัฏว่า“สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิติยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธ สยามมกุฎราชกุมารในมงคลวาระนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณในการพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งแสดงถึงน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงมุ่งมั่นจะบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ เพื่อชาติบ้านเมือง และประชาชนชาวไทย เป็นที่ซาบซึ้งประทับใจพสกนิกรอย่างยิ่ง ดังควาการศึกษางกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้รับการศึกษาระดับอนุบาลศึกษาที่พระที่นั่งอุดร พระราชวังดุสิต และทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนจิตรลดา ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๙๙ –๒๕๐๕ ที่ประเทศอังกฤษระหว่างพุทธศักราช ๒๕๐๙ – ๒๕๑๓หลังจากนั้นได้ทรงศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์ นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย แล้วเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต (การศึกษาด้านทหาร) คณะการศึกษาด้านทหาร จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลล์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรพระนามเดิมของพระองค์ เดิมว่า สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรง สุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ เมื่อเวลา ๑๗ นาฬิกา ๔๕ นาที ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ประวัติราชกาลที่๙

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 — 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่เก้าแห่งราชวงศ์จักรี เสด็จสู่พระราชสมบัติตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 เป็นพระมหากษัตริย์ไทยผู้เสวยราชย์ยาวนานที่สุด[2]
พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น ในคราวปี 2524 และปี 2528 กระนั้น ก็ได้ทรงแต่งตั้งหัวหน้าคณะยึดอำนาจหลายคณะ เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500 กับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ในช่วงปลายพุทธทศวรรษที่ 2540 ตลอดรัชกาลของพระองค์ เกิดรัฐประหารโดยกองทัพ 13 ครั้ง รัฐธรรมนูญ 19 ฉบับ และนายกรัฐมนตรี 29 คน
ประชาชนชาวไทยจำนวนมากเคารพพระองค์[3][4][5] อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะและผู้ใดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นความผิดอาญา[5]คณะรัฐมนตรีหลายชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาก็ถูกคณะทหารล้มล้างไปด้วยข้อกล่าวหาว่านักการเมืองผู้ใหญ่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ[6][7]กระนั้น พระองค์เองได้ตรัสเมื่อปี 2548 ว่า สาธารณชนพึงวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้[8]
พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์[9] กับทั้งพระองค์ยังทรงเป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ งานพระราชนิพนธ์ และงานดนตรีจำนวนหนึ่งด้วย[10] ด้านสินทรัพย์ของพระองค์นิตยสารฟอบส์จัดอันดับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2556[11] เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 พระองค์มีพระราชทรัพย์ 30,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ดูหมายเหตุด้านล่าง)[12] สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นใช้สินทรัพย์เพื่อสวัสดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงินต่อพระมหากษัตริย์แต่พระองค์เดียว[13] ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็ได้ทรงอุทิศพระราชทรัพย์ไปในโครงการพัฒนาประเทศไทยหลายต่อหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้ำ สวัสดิการทางคมนาคม และสวัสดิการสาธารณะ[14]
นับแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระอาการพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดมา แต่พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15:52 น. สิริพระชนมายุ 88 ปี 313 วัน[15]

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

เงื่อนผูกรั้ง
เงื่อนผูกรั้งเป็นเงื่อนที่ใช้ผูกยึดกับสิ่งอื่น ซึ่งเป็นเงื่อนที่มีลักษณะพิเศษ คือ สามารถปรับ
ให้ตึงหรือหย่อนได้ตามความต้องการ

ประโยชน์ 
       1. ใช้ผูกเสาเต็นท์ ยึดเสาธงกันล้ม ใช้รั้งต้นไม้
       2. เป็นเงื่อนเลื่อนให้ตึผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เงื่อนผูกรั้งงหรือหย่อนตามความต้องการ
เงื่อนตะกรูดเบ็ด

เป็นเงื่อนที่ใช้งานต่างๆ มากมาย เช่น ผูกสิ่งของต่างๆ ผูกเหล็ก ผูกรั้ว ผูกตอม่อในการสร้างสะพาน ผูกแขวนรอก ผูกสมอเรือ ผูกบันได ผูกเบ็ด
ประโยชน์ 
       1. ใช้ผูกเชือกกับเสาหรือหลักเพื่อล่ามสัตว์เลี้ยงหรือแพ
       2. ใช้ผูกบันใดเชือก บันใดลิง
       3. ใช้ในการผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เงื่อนตะกรุดเบ็ดผูกแน่น เช่น ผูกประกบ ผูกกากบาท 
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เงื่อนขัดสมาธิ
เงื่อนผูกซุง

เงื่อนผูกซุงเป็นเงื่อนที่ใช้สำหรับผูกสิ่งของต่างๆ ให้ยึดติดกันแน่น ซึ่งเป็นเงื่อนที่มี
ลักษณะพิเศษ คือ ผูกง่าย แก้ง่าย แต่เป็นเงื่อนที่ยิ่งดึงยิ่งแน่น    ยิ่งดึงแรงมากเท่าไรก็จะยิ่ง
แน่นมากขึ้นเท่านั้น
ประโยชน์
        1. ใช้ผูกวัตถุท่อนยาว ก้อนหิน ต้นซุง เสา เพื่อการลากโยง
        2. ใช้ผูกทแยง
        3. ใช้ผูกสัตว์ เรือ แพไว้กับท่าหรือเสาหรือรั้ว ต้นไม้
        4. เป็นเงื่อนที่ผูกง่าย แก้ยาก
เงื่อนประมง 

เงื่อนประมงเป็นเงื่อนที่ใช้สำหรับต่อเชือกที่มีขนาดเดียวกัน ซึ่งเป็นเงื่อนที่รู้จักกันทั่วไปอีกชื่อหนึ่งว่า เงื่อนหัวล้านชนกัน
ประโยชน์
        1. ใช้ต่อเชือก 2 เส้นที่มีขนาดเดียวกัน
        2. ใช้ต่อเชือกเส้นด้ายเล็กๆเช่น ด้ายเบ็ด ต่อเส้นเอ็น
        3. ใช้ผูกคอขวดสำหรับถือหิ้ว(คอขวดที่มีขอบขวด)
        4. ใช้ใช้ต่อเชือกที่มีขนาดใหญ่ที่ลากจูง
        5. ใช้ต่อสายไฟฟ้า

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เงื่อนบ่วงสายธนู
เงื่อนบ่วงสายธนู

เงื่อนบ่วงสายธนู เป็นเงื่อนที่ไม่รูด ไม่เลื่อนเข้าไปรัดกับสิ่งที่ผูก ตัวบ่วงจะคงที่
 ประโยชน์ 
       1. ใช้ผูกสัตว์ไว้กับหลักหรือต้นไม้ เป็นเงื่อนที่ไม่รูดและไม่เลื่อนเข้าไปรัด กับหลัก
           เพราะสามารถหมุนรอบได้
        2. ใช้ผูกเรือกับหลัก เมื่อเวลาน้ำขึ้นหรือน้ำลงบ่วงจะเลื่อนขึ้นลงได้เอง
        3. ใช้คล้องกันธนูเพื่อโก่งคันธนู
        4. ใช้คล้องคนให้หย่อนตัวจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำแทนเงื่อนเก้าอี้
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เงื่อนบ่วงสายธนู
เงื่อนขัดสมาธิ
เงื่อนขัดสมาธิเป็นเงื่อนที่มีประโยชน์ในการต่อเชือกที่มีขนาดต่างกัน หรือขนาดเท่ากัน โดยใช้เส้นใหญ่ทำเป็นบ่วง ส่วนเส้นเล็กเป็นเส้นพันขัด
ประโยชน์ 

         1. ใช้ต่อเชือกขนาดต่างกัน หรือขนาดเดียวกันก็ได้
         2. ใช้ต่อเชือกแข็งกับเชือกอ่อน (เส้นอ่อนเป็นเส้นพันขัด)
         3. ใช้ต่อเชือกที่ค่อนข้างแข็ง เช่น เถาวัลย์
         4. ใช้ผูกเชือกกับสิ่งที่มีลักษณะเป็นขอหรือหูอยู่แล้ว เช่น ธงชาติ
       ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เงื่อนขัดสมาธิ  

เงื่อน

เงื่อนพิรอด
เป็นเงื่อนที่ใช้ประโยชน์มากในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะการต่อปลายเชือก 2 ข้างเข้าด้วยกัน ซึ่งเงื่อนนี้จะแน่นมากแต่ก็แก้ออกได้ง่าย
ประโยชน์
        1. ใช้ต่อเชือกขนาดเท่ากัน เหนียวเท่ากัน
        2. ใช้ผูกปลายเชือกเส้นเดียวกัน เพื่อผูกมัดห่อสิ่งของและวัตถุต่างๆ
        3. ใช้ประโยชน์ในการปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เช่น ผูกชายผ้าพันแผล ผูกชายผ้า
        4. ผูกเชือกรองเท้า ผูกโบ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เงื่อนพิรอด

เงื่อน

เงื่อนพิรอด
เป็นเงื่อนที่ใช้ประโยชน์มากในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะการต่อปลายเชือก 2 ข้างเข้าด้วยกัน ซึ่งเงื่อนนี้จะแน่นมากแต่ก็แก้ออกได้ง่าย
ประโยชน์
        1. ใช้ต่อเชือกขนาดเท่ากัน เหนียวเท่ากัน
        2. ใช้ผูกปลายเชือกเส้นเดียวกัน เพื่อผูกมัดห่อสิ่งของและวัตถุต่างๆ
        3. ใช้ประโยชน์ในการปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เช่น ผูกชายผ้าพันแผล ผูกชายผ้า
        4. ผูกเชือกรองเท้า ผูกโบ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เงื่อนพิรอด

เงื่อน

เงื่อนพิรอด
เป็นเงื่อนที่ใช้ประโยชน์มากในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะการต่อปลายเชือก 2 ข้างเข้าด้วยกัน ซึ่งเงื่อนนี้จะแน่นมากแต่ก็แก้ออกได้ง่าย
ประโยชน์ 
        1. ใช้ต่อเชือกขนาดเท่ากัน เหนียวเท่ากัน
        2. ใช้ผูกปลายเชือกเส้นเดียวกัน เพื่อผูกมัดห่อสิ่งของและวัตถุต่างๆ
        3. ใช้ประโยชน์ในการปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เช่น ผูกชายผ้าพันแผล ผูกชายผ้า
        4. ผูกเชือกรองเท้า ผูกโบ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เงื่อนพิรอด


วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

กลอนวันเเม่

กลอนวันเเม่

กลิ่นความรักหอมนวลอวลไออุ่น
มือละมุนเนียนนุ่มอุ้มโอบขวัญ
ทะนุถนอมตระกรองกอดยอดชีวัน
ประครองป้องผองภยันอันตราย
ที่ถ่ายทอด "คำรัก" หลากความหมาย
กี่เปรียบเปรยสรรหามาบรรยาย
ฤาเทียบสายใยรักจาก...มารดา
แม่คือ "ครู" สอนอ่านเขียนเรียนภาษา
ให้คำเตือน...เสมือนแสงแห่งปัญญา
ให้วิชาคือ "รู้คิด" ที่ติดตน
ต้องการคำปรึกษาหาเหตุผล
แล้วหันมองรอบกาย...คล้ายมืดมน
ยังพบคนหนึ่ง...คือแม่...คอยแลมอง
แม่...เลอเลิศหนึ่งในใจไม่เป็นสอง
แม่...สูงค่ากว่าหยาดเพชรเกร็ดสีทอง
เกินยกย่องด้วยล้านคำ...พร่ำพรรณนา
ระลึกคุณ แม่โอบอุ้มคุ้มเกศา
มือของลูกจึงเรียงร้อยถ้อยวาจา
เป็นมาลาหอม "รัก" กราบจากใจ

กี่สิบถ้อยร้อยคำรำพันพรอด
ครั้งที่ลูกยังเป็นเด็ก เล็กเล็กอยู่
ยามลูกเหนื่อยอนาทรแสนอ่อนล้า
แม่จ๋า...แม่คือยอดสตรีที่ประเสริฐ
หอมกลิ่นความรักนวลอวลไออุ่น
กลิ่นความรักหอมนวลอวลไออุ่น
มือละมุนเนียนนุ่มอุ้มโอบขวัญ
ทะนุถนอมตระกรองกอดยอดชีวัน
ประครองป้องผองภยันอันตราย
กี่สิบถ้อยร้อยคำรำพันพรอด
ที่ถ่ายทอด "คำรัก" หลากความหมาย
กี่เปรียบเปรยสรรหามาบรรยาย
ฤาเทียบสายใยรักจาก...มารดา
ครั้งที่ลูกยังเป็นเด็ก เล็กเล็กอยู่
แม่คือ "ครู" สอนอ่านเขียนเรียนภาษา
ให้คำเตือน...เสมือนแสงแห่งปัญญา
ให้วิชาคือ "รู้คิด" ที่ติดตน
ยามลูกเหนื่อยอนาทรแสนอ่อนล้า
ต้องการคำปรึกษาหาเหตุผล
แล้วหันมองรอบกาย...คล้ายมืดมน
ยังพบคนหนึ่ง...คือแม่...คอยแลมอง
แม่จ๋า...แม่คือยอดสตรีที่ประเสริฐ
แม่...เลอเลิศหนึ่งในใจไม่เป็นสอง
แม่...สูงค่ากว่าหยาดเพชรเกร็ดสีทอง
เกินยกย่องด้วยล้านคำ...พร่ำพรรณนา
หอมกลิ่นความรักนวลอวลไออุ่น
ระลึกคุณ แม่โอบอุ้มคุ้มเกศา
มือของลูกจึงเรียงร้อยถ้อยวาจา
เป็นมาลาหอม "รัก" กราบจากใจ


วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

โครงงาน

                                            ทรัพยากรในหมู่บ้านชมภูจัดทำโดยด.ช.ประกานต์       แดงจันทร์ด.ช.ธนกร                 ทะริยะด.ช.สุณัฐพงค์     คำประสงค์ครูผู้สอนนางสาว   สายใจ  สิงห์หะโรงเรียนบ้านชมภู






ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
     จากการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติภายในหมู่บ้านชมพู  กระผมได้เห็นสิ่งต่างๆที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ สิ่งเหล่านั้นมีมากมาย เช่น  สัตว์ ต้นไม้ แม่น้ำ ภูเขา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง ของคนในหมู่บ้านชมพู เพราะคนชมพูพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ โดยการหาปลา เก็บผักและพืชสมุนไพร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยเหลือคนในหมู่บ้านชมพูมาโดยตลอด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
    และโครงงานนี้ทำไห้ได้ทราบว่า  สิ่งต่างๆในธรรมชาติมีประโยชน์หรือไม่ผู้จัดทำโครงงานนี้ได้ไห้ความสำคัญกับโครงงานนี้เป็นพิเศษ เพราะสิ่งต่างๆ ในธรรมชาตินั้นน่าสนใจและหลากหลายในเรื่องของชีวภาพผู้จัดทำจึงคิดว่าการทำโครงงานนี้จะเปนประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่จะศึกษาโครงงานนี้


วัตถุประสงค์
1.เพื่อต้องการศึกษาทรัพยากรธรรมชาติภายในท้องถิ่น
2.เพื่อศึกษาลักษณะของสิ่งต่างๆในธรรมชาติ

3.เพื่อกระตุ้นไห้คนในท้องถิ่นหันมาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ประกานต์ • 22 นาที

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ประวัติกีฬาฟุตบอล                                                                                                                                 ฟุตบอล (Football) หรือ ซอกเกอร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีคนสนใจในการเล่น และเข้าชมสูงที่สุดของโลก แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า กีฬาฟุตบอลถือกำเนิดมาจากชนชาติใด โดยเฉพาะเป็นกีฬายอดนิยมสูงสุดของโลก ก็ยิ่งทำให้ทุกๆ ประเทศมีวิวัฒนาการทางการกีฬา ยืนยันว่าเป็นกีฬาที่เกิดจากประเทศของตนทั้งสิ้น แต่ประเทศที่อ้างว่าเป็นกีฬาที่เกิดขึ้นจากตนเอง ก็ไม่สามารถหาหลักฐาน  ยืนยัน จึงเพียงแต่กล่าวว่า น่าจะเป็นไปได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ จะเปไม่อย่างใดนั้น สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเกิดจากที่ใด สรุปได้ดังนี้คือเมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า ในประเทศจีนมีการเล่นเกมอย่างหนึ่ง เรียกว่า ซูจู (Tsu Chu) ซึ่งหมายถึง เกมที่ใช้เท้าเตะลูกบอล โดยมากการเล่นเกจะเป็นการเล่นถวายพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ชนะจะได้รางวัลอย่างงาม ส่วนผู้แพ้บางครั้งจะถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนชาวญี่ปุ่นก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่มีเกมการเล่นในลักษณะที่ใช้เท้าเล่น เรียกว่า เกมาริ (Kemari) โดยมีการกำหนดขอบเขต และมุมของสนามด้วยต้นสน ต้นเชอรี่ ต้นเมเปิล หรือต้นวิลโล เป็นแนวเขตธรรมชาติชาวโรมันในสมัยโบราณมีเกมการเล่นชนิดหนึ่งเรียกว่าฮาร์พาสเตียม (Harpastium) โดยใช้กระเพาะปัสสาวะของหมูเอามาสูบลมแล้วนำมาเตะกัน นอกจากจะเตะแล้วอาจใช้การผลัก ถือ วิ่ง ชก ขว้างปา ให้ลูกบอลไปถึงที่หมายของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ ซึ่งคล้ายกับกีฬารักบี้ฟุตบอล ในสมัยปัจจุบันในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี มีเกมคล้าย ๆ กันนี้ เรียกว่า กัลโช (Calcio) โดยเล่นกันที่เปียซซ่า เดลลา โครเก (Piazza della Croce) มีผู้เล่นข้างละ 27 คน แต่ละทีมจะสวมชุดเครื่องแต่งกายประจำถิ่นหรือหมู่บ้านนั้น ๆ ตามควานิยมในสมัยนั้น ปัจจุบันเกมนี้ยังคงได้รับการฟื้นฟูจากทางการของอิตาลีจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันเชื่อกันว่าชาวโรมันเป็นผู้นำเกมการเล่นแบบเตะลูกบอล (Harpastium) มายังประเทศอังกฤษ แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด จนกระทั่งหลายศตวรรษ หลังจากโรมันได้จากเกาะอังกฤษไปแล้ว ในประมาณปี พ..1343 กองทัพเดนมาร์ค ได้เโจมตีที่มั่นของอังกฤษที่เมืองคิงสตัน (Kingston) นักประวัติศาสตร์บางท่านบอกว่าเป็นที่มั่นเมืองเชเตอร์ (Chester) ทหารอังกฤษที่ประจำอยู่ที่มั่นดังกล่าว ได้ต่อสู้เป็นสามารถ ในที่สุดเมื่อได้รับการสนับสนุนจากเมืองหลวง คืลอนดอน (London) ก็สามารถตีกองทัพเดนมาร์คแตกพ่ายไป แม่ทัพเดนมาร์คถูกฆ่าตาย และทหารอังกฤษได้ตัดเอาศีรษะของเขามาเตะเล่นกันไปรอบ ๆ ค่ายทหาร วันที่อังกฤษได้รับชัยชนะนั้น คือ วันมาดิกราส์ (Shrove Tuesday) ซึ่งต่อมาถือเป็นวันสำคัญแห่งชาติอังกฤษไป เกมการเตะศีรษะคนก็เปลี่ยนมาเป็นเกมการเตะลูกบอลที่ทำด้วยหนัง กลายเป็นกิจกรรมสำคัญสำหรับฉลองในเทศกาลวันสำคัญดังกล่าว และแพร่หลายไปตามชนบท คนทั้งหมู่บ้านออกมาเตะฟุตบอลเล่นกัน ผู้เล่นสามารถใช้ทุกส่วนสัมผัสลูกบอลได้ ประตูซึ่งอาจจะเป็นประตูเมือง หรือต้นไม้ จะอยู่ห่างกันหลายร้อยเมตร เป็นการเล่นที่รุนแรง (ถูกนำมาใช้ทำให้เกิดความเสียหายและบาดเจ็บต่อผู้เล่นเป็นจำนวนมาก จนบางครั้งดูเป็นความโหดร้ายป่าเถื่อน จนถึงขึ้นการจลาจลบ่อย ๆ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ และพระเจ้า     ริชาร์ดที่ จึงได้ทรงห้ามไม่ให้มีการเล่นเกมฟุตบอลที่โหดร้ายนี้อีกต่อไป แต่ก็ยังมีการเล่นอยู่ประปรายความรุนแรงของการเล่นฟุตบอลค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่งปี พ ..2243 โรงเรียนที่มีชื่อเสียงในอังกฤษ เช่น โรงเรียนรักบี้ (Rugby) และโรงเรียนอีตัน (Eton) ก็นำเกมฟุตบอลมาฟื้นฟู มีการพยายามกำหนดกฎ กติกาการเล่น แต่ก็ยังไม่เป็นมาตรฐาน เพราะแต่ละแห่งจะสร้างกติกา เพื่อประโยชน์ของทีมตนเองทั้งสิ้นอย่างไรก็ตาม การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎกติกาการเล่นของแต่ละแห่งทำให้นักกีฬาใหม่ขึ้นมาอยู่ ลักษณะ คือ ไปในแนวทางรักบี้ฟุตบอล (Rugby Football) และฟุตบอล (Soccer or Association Football)ปี พ ..2343 กีฬาฟุตบอลได้รับการพัฒนาให้มีการเล่นที่สุภาพมากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น มีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งอังกฤษขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี พ..2406 โดยการรวมกลุ่มของสโมสรฟุตบอลในลอนดอน 11 แห่ง เพื่อร่วมกันปรับปรุง แก้ไข กฎ กติกา การเล่นให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันอันถือว่าเป็นการเริ่มต้นการเล่นกีฬาฟุตบอลในรูปแบบปัจจุบัน การเล่นฟุตบอลในประเทศอังกฤษได้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการเผยแพร่ของทหารบกและทหารเรือของอังกฤษ ซึ่งขณะนี้มีประเทศที่เป็นอาณานิคมอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง จึงได้มีการก่อตั้งสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (The Federation International de Football Association) หรือเรียกว่า ฟีฟ่า (F.I.F.A.) โดยมีสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีประเทศสมาชิกก่อตั้ง ประเทศ ปัจจุบันนี้มีประเทศต่าง ๆ สมัครเป็นสมาชิกเกือบ 200 ประเทศปัจจุบันฟุตบอลถือได้ว่าเป็นกีฬายอดนิยมอันดับหนึ่ง มีการจัดการแข่งขันรายการต่าง ๆ มากมาย ทั้งระดับภายในประเทศ ระดับนานาชาติ และ ระดับโลก การแข่งขันที่ถือว่าเป็นสุดยอดของรายการแข่งขันฟุตบอล ได้แก่ การแข่งขันฟุตบอลโลก (World Cup)  ซึ่งจะมีการแข่งขันทุกๆ   ปีต่อครั้ง โดยเริ่มจัดการแข่งขันครั้งแรกที่ประเทศอุรุกวัย เมื่อปี พ.. 2473 และอุรุกวัยเป็นประเทศแรกที่ชนะเลิศฟุตบอลโลก ได้ครองถ้วย จูล ริเมต์ (Jules Rimet) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มให้มีการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้น และประกอบกับท่านเป็นประธานสหพันธ์ฟุตบอลโลก หรือ F.I.F.A. ในขณะนั้นด้วย ต่อมาถ้วยใบนี้ได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศบราซิล เมื่อบราซิลเป็นประเทศแรกที่ชนะเลิศฟุตบอลโลกครบ ครั้ง เมื่อปี พ..2513 ที่ประเทศเม็กซิโก เป็นเจ้าภาพ F.I.F.A.      จึงได้จัดทำถ้วยใบใหม่เพื่อจัดการแข่งขันต่อไป ซึ่งทวีปเอเชียได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งแรกในปี พ.. 2545 ณ ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และ ปี พ.ศ. 2549  ประเทศเยอรมัน ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน  มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันรอบสุดท้าย  32  ทีม จากทุกทวีป
นอกจากการแข่งขันฟุตบอลโลกแล้ว ยังมีการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติที่น่าสนใจ และมีชื่อเสียงหลายรายการ ดังนี้ 
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติของทวีปยุโรป แข่งขันทุก ๆ ปีต่อครั้ง
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติของทวีปอเมริกาใต้ 
ฟุตบอลเยาวชน อายุไม่เกิน 19 ปี
ฟุตบอลโอลิมปิกฤดูร้อน 
                ฯลฯ
ประเทศที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับฟุตบอล มักจะอยู่แถบทวีปยุโรปและอเมริกาใต้ แต่ละประเทศจะจัดดำเนินการแข่งขันรายการฟุตบอลภายในประเทศเป็นระบบอาชีพ (Professional Football) โดยจัดตั้งเป็นสโมสร (Club) มีสมาชิก (Fan-Club) ให้การสนับสนุนและคอยให้กำลังใจผู้เล่นของสโมสรที่ไปทำการแข่งขันสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงในทวีปยุโรป มีหลายสโมสรที่น่าสนใจ ดังนี้ 
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล อาร์เซนัล นิวคาสเซิล จากประเทศอังกฤษ 
เอ .ซี มิลาน  จูเวนตุส อินเตอร์มิลาน จากประเทศอิตาลี
บาเยิร์น มิวนิค เอฟซี โคโลญ ซอลเก้ 04 จากประเทศเยอรมัน
บาร์เซโลน่า เรียล แมดริด คอรุนยา  จากประเทศสเปน 
อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม  พีเอสวี ไฮนโอเพ่น จากประเทศฮอลแลนด์ 
เอฟซี ปอร์โต  เบนฟิก้า จากประเทศโปรตุเกส 
การจัดการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี มีดังนี้ 
ฟุตบอล กัลโช ซีรีส์ เอ (Calcio Series A) ของ อิตาลี
ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก (Primier League) ของ อังกฤษ
ฟุตบอล บุนเดสลิกา (Bundesliga) ของ เยอรมัน
สโมสรในทวีปต่าง ๆ ยังมีการนำเอาแชมป์ของสโมสรในประเทศมาแข่งขันกันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งของสโมสรในแต่ละทวีปด้วย ในทวีปยุโรปจัดการ แข่งขัน ดังนี้ ฟุตบอลสโมสรชิงแชมป์ยุโรป (European Champion Clubs Cup) เป็นการเอาแชมป์สโมสรดิวิชั่น ของประเศมาแข่งขันกันฟุตบอลยูฟ่าคัพ (U.E.F.A. Cup) เป็นการนำเอาแชมป์ฟุตบอลลีกคัพ ของแต่ละประเทศ และอัน 1, 2 หรือ ของฟุตบอลดิวิชั่น ของแต่ละประเทศมาแข่งขันกันฟุตบอลคัพ วินเนอรส์ คัพ (Cup-Winners-Cup) เป็นการนำเอาแชมป์ฟุตบอล เอฟ.เอ.คัพ ของแต่ละประเทศมาแข่งนกันสำหรับฟุตบอลในทวีปเอเชีย มีรายการฟุตบอลอาชีพภายในประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่ ฟุตบอล เจ .ลีก ของประเทญี่ปุ่น ซึ่งรวบรวมเอานักเตะที่มีชื่อเสียงของโลก ร่วมกับนักเตะที่เด่น ๆ ของญี่ปุ่นเองมาทำการแข่งขันเป็นรายการฟุตบอลอาชีพ นอกจากนี้ ก็มีรายการฟุตบอลในประเทศเกาหลีใต้ และจีน ด้วยในสหรัฐอเมริกา หลังจากล้มเหลว ในการจัดตั้งสโมสรและจัดการ แข่งขันฟุตบอลลีก เมื่อปี พ ..2513 ต่อมาเมื่อสหรัฐเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก (World Cup) ในปี พ..2537     ก็ได้มีการรื้อฟื้นการแข่งขันฟุตบอลลีกขึ้นใหม่ ภายใต้ชื่อว่า เมเจอร์ ลีก (Major Leaque) เริ่มทำการแข่งขันในปี พ..2539